วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552

Web blog คืออะไร


BlogGang คือ "Web log" หรือเรียกสั้นๆ ว่า "blog" ชื่อดังกล่าวเริ่มใช้เมื่อเดือนธันวาคม ปี 1997 โดยผู้ที่คิดชื่อนี้คือ Jorn Barger "weblog" (เว็บ Blog) หมายถึงเว็บไซต์ส่วนตัว ที่ผู้สร้างหรือที่เรียกว่า blogger จัดทำขึ้นเพื่อเป็นที่บอกเล่าเรื่องราว สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน รวมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสนอบทความใหม่ๆ วิจารณ์ข่าวสารบ้านเมือง หรืออื่นๆ ที่ผู้ใช้เห็นว่าน่าสนใจ พร้อมกันนั้น ยังเปิดให้ผู้เยี่ยมชมได้สามารถแสดงความคิดเห็นต่อ topic ต่างๆ ที่ได้ตั้งขึ้นอีกด้วย
ประโยชน์ของ Web blogBlog
มีไว้เพื่อตอบสนองตัณหาของเจ้าของ blog ถึงแม้ว่า blog จะมีลักษณะหน้าตาคล้ายกัน แต่ blog แต่ละแห่งจะมีบุคลิกเฉพาะตัว แตกต่างกันไปเหมือนบุคลิก บาง blog แค่เล่าเรื่องชีวิตประจำวัน บาง blog เกาะติดข่าว บาง blog คุยเรื่องการเมืองหรือปรัชญา จงนั้นอาจแบ่งประโยชน์ได้หลายแบบด้วยกัน ซึ่งอาจจะแจกแจงได้ดัง นี้
1.เปิดตัวเองให้โลกรู้ เรื่องของ blog มักเป็นเรื่องราวของเจ้าของ blog เป็นการเล่าประสบการณ์หรือความคิดของเจ้าของ เป็นการถ่ายทอดความคิดความรู้สึกของเจ้าของ blog เป็นการระบายความเคลียดอีกทางหนึ่ง
2.ทันข่าวทันเหตุการณ์ ประสบการณ์บางคนก็เป็นข่าวเห็นอีกหลายคนได้ ข่าวจาก blog หลายแห่งเป็นข่าววงใน บางคนเล่าเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุที่เจอมา หลาย blog พูดถึงแนวโน้มหรือความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ
3.กลั่นกรองข้อมูล blog บาง blog จะมีการกลั่นกรองข้อมูลก่อนนำลง blog ทำให้ผู้อ่าน blog ไม่ต้องเสียเวลาในการกลั่นกรองข้อมูล เพราะมีการนำเสนอข้อมูลหรือมีไกด์ในการท่องเว็บ
4.รายงานการท่องเว็บ เป็นวัตถุประสงค์หลักที่เป็นต้นกำเนิดของการทำ blog หลาย blog มีการลิงก์ไปยังเว็บที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาใน blog ซึ่งเป็นการแนะนำว่าเว็บไหนดีก็ไปที่เว็บนั้น
5.การแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นความในใจของเรื่องต่างๆ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ หรือการบ่นที่ทุกคนมีอยู่ในใจ การทำ blog เป็นช่องทางถ่ายทอดความคิดเห็นให้คนอื่นรับรู้
6.ถ่ายทอดประสบการณ์ หรือไดอะรี่ออนไลน์ เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตประจำวัน หรือเป็นการเล่าเรื่องการเดินทางท่องเที่ยว
7.โน้มน้าวใจผู้อ่าน ลักษณะนี้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ แต่กรณีแบบนี้เป็นการขายความคิด อย่าง blog สำหรับคอการเมืองอาจจะมีฝ่ายซ้าย - ฝ่ายขวา,สายเหยี่ยว ­- สายพิราบ จะพบว่าเนื้อหาจะเป็นการโพสต์โจมตีฝ่ายตรงข้าม แล้วก็สนับสนุนแนวความคิดของตนเอง

วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2552

การนอนดึก . . . ทำให้ก่อมะเร็ง



หน่วยงานวิจัยด้านมะเร็งนานาชาติ ซึ่งเป็นองค์กรในสังกัดขององค์การอนามัยโลก ประกาศจะขึ้นบัญชีการทำงานกลางคืน เทียบเท่ากับว่าเป็นสารก่อมะเร็ง การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นบนพื้นฐานการทบทวนงานวิจัยหลายชิ้นที่พบอัตราการเป็นมะเร็ง ทรวงอก และมะเร็งต่อมลูกหมากมากขึ้นในหมู่ชายหญิงที่ทำงานตอนกลางคืน สมาคมโรคมะเร็งกล่าวว่า จะดำเนินตามคำวินิจฉัยนั้น แต่ยังคงพิจารณาว่าความเชื่อมโยงของมะเร็งจากการทำงานยังอยู่ในขั้น “ไม่แน่นอน” หรือ “ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้” เพราะอาจจะมีปัจจัยอื่นร่วมด้วยที่ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น ในกลุ่มคนทำงานกะดึก เว็บไซต์ของสมาคมฯยังมีข้อสังเกตว่าสารก่อมะเร็งไม่เป็นเหตุ ให้เกิดมะเร็งเสมอไป ถ้าหากทฤษฎีการทำงานกลางคืนพิสูจน์ได้ในที่สุดว่าเป็นจริงนั้นจะทำให้คนเรือนล้านทั่วโลก ได้รับผลจากทฤษฎีนี้ โดยผู้เชี่ยวชาญคาดประมาณว่าเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรวัยทำงานในประเทศพัฒนาแล้วเป็นคนทำงานกะกลางคืน เหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์คาดหมายถึงความเชื่อมโยงระหว่างการทำงานกะดึกกับการเกิดมะเร็ง เพราะว่ามันเข้าไปขัดจังหวะการทำงานของนาฬิกาชีวภาพในร่างกาย และฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งสามารถกดการเติบโตของก้อนเนื้อนั้น โดยปกติจะมีการผลิตขึ้นมาในเวลากลางคืน “การนอนไม่พอจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคอ่อนแอถูกจู่โจมได้ง่ายและสามารถต่อสู้ กับเซลล์มะเร็งได้น้อยลง” มาร์ค รี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยไลท์ รีเสิร์ช ที่สถาบันโพลีเทคนิคเรนส์เซลเลอร์ ในนิวยอร์ก กล่าว.

วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552

มารยาทในที่ทำงาน" (Good Manner in the Office) (ต่อ)



3. "การพูดจากทักทายกับเพื่อนในบริษัท" มารยาทเรื่องนี้สำคัญมาก อย่างน้อยมาถึงที่ทำงาน กันก็ทักทายกันเสียหน่อยพอให้รู้ว่าเห็นเรา ไม่ใช่เรานั่งอยู่เธอเดินเข้ามาด้วยมาดอันเคร่งขรึมมาถึง ก็นั่งในทีโต๊ะทำงาน ไม่พูดจากับใครเลย อย่างนี้เดี๋ยวเพื่อนๆจะพากันเข้าใจผิดว่าได้บรรลุวิชา หายตัวได้แล้ว เพราะมีคนเข้ามาแล้วมองไม่เห็น ใครมีลูกแล้วก็หัดให้ทักทายพ่อแม่พี่น้องทุกวัน หัดอย่างไร ก็พอลูกตื่นมา พ่อแม่ก็ทักทายเสียก่อนว่า"สวัสดีลูก" อะไรทำนองนั้น ในที่ทำงานการ ทักทายกันถือเป็นมารยาทที่สำคัญมาก เพราะการทักทายจะทำให้วันนั้นเริ่มต้นด้วยความอบอุ่น สนิทสนมกัน อากาศจะบริสุทธิ์มากขึ้น และการทักทายก็คงเริ่มด้วยคำพูดในแง่บวกอย่างที่เคยได้ สอนอบรมไปกันแล้ว และต้องไม่เริ่มตอนเช้าด้วยการเอาเรื่องไม่สบายใจของตนเองมาเล่าให้เพื่อน ฟัง ไม่ว่าเรื่องแฟน เรื่องลูก หรือซื้อหวยไม่ถูก เพราะในตอนเช้าไม่มีใครอยากฟังนักหรอกในเรื่อง เหล่านั้น
4. "การติดต่อสื่อสารกันภายในบริษัท" ข้อนี้รวมทั้งการติดต่อสื่อสารระหว่างหัวหน้า ระหว่าง เรากับลูกค้า ระหว่างพวกเราด้วยกันเอง สิ่งหนึ่งที่อยากจะเน้นก็คือการติดต่อสื่อสารกันในทุก เรื่องที่พวกเราได้รับทราบมาจากสำนักงานใหญ่ บางครั้งบางคนก็ไปร่วมประชุมมา กลับมาก็ต้อง กลับมาก็ต้องมาบอกกล่าว มาเล่ากันให้ฟังอย่างชัดถ้อยกระทงความ เนื้อหา เหตุผล และแนวทางปฏิบัติไม่ใช่ ว่ากลับมาก็เริ่มเลย "อีกแล้วพวกเรา เหนื่อยกันอีกแล้ว..." มาบอกกล่าว มาเล่ากันให้ฟังอย่างชัดถ้อยกระทงความ เนื้อหา เหตุผล และแนวทางปฏิบัติ ไม่ใช่ ว่ากลับมาก็เริ่มเลย "อีกแล้วพวกเรา เหนื่อยกันอีกแล้ว..." อะไรทำนองนี้ อย่างนี้ไม่เรียกการสื่อสาร แต่เรียกว่าประชุมเพลิง
5. "บุคลิกส่วนตัวในที่ทำงาน" คำว่าบุคลิกหมายถึงพฤติกรรมโดยส่วนรวมของบุคคลนั้นที่ แสดงออกมาหรือกระทำออกมาในที่ทำงาน ตั้งแต่ความสะอาดของร่างกาย ความเพียงพอในการ การพักผ่อน การแต่งกาย การแต่งกายประหลาดอยู่คนเดียวในที่ทำงานไม่ใช่เรื่องโก้เก๋อะไร หรือ การทำงานในลักษณะหมดสภาพ "หนังสือปกสวยย่อมขายดี" ก็เคยพูดแล้ว ดังนั้นการกระทำ การคิด การแต่งกาย การพูดจา การติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่นทั้งหมดนี้คือ "บุลิคภาพส่วนตัวในที่ทำงาน" ลองสำรวจ และแก้ไขเสีย..คนเราย่อมพลั้งเผลอได้

มารยาทในที่ทำงาน" (Good Manner in the Office)


1. “คนและบริษัท” บริษัทประกอบไปด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ที่สำคัญที่เราต้องมีมารยาท ที่ดีด้วยก็คือคน ผู้ที่เข้ากับคนอื่นไม่ได้ดีก็ย่อมทำงานไม่ได้ จำได้ว่าเคยเขียนให้อ่านครั้งหนึ่งว่า “ไม่มีความชำนิชำนาญใดๆมาทดแทนความชำนิชำนาญในการเข้ากับบุคคลอื่นได้” การอยู่ในบริษัทประการแรกที่เราต้องกระทำดีต่อ หรือมีมารยาทที่ดีต่อก็คือการเข้ากับเพื่อนร่วมงานให้ได้ คำว่า “เอาใจเขาใส่ใจเรา หรือเอาใจเราใส่ใจเขา” หรือเอาทั้งใจเราใจเขามาใส่ทั้งในเราใจเขาก็ช่างเถอะ มีความหมายที่ดีทั้งนั้น แปลรวมความว่านึกถึงเขาบ้าง ว่าเขาหรือคนอื่นจะคิดอย่างไร ถ้าเราทำอย่างนี้ ถ้าคำตอบว่า”ไม่แน่ใจ” หรือ”คงไม่ชอบมั้ง” หรือ “ช่างเขาเถอะ” ละก้อ อย่าทำเลย เพราะ ล้วนแต่สิ่งที่ไม่มีมารยาททั้งสิ้น “ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง...”นะเป็นเรื่องจำเป็นเหลือเกิน

2. “กฎระเบียบของบริษัท” นี่คือมารยาทที่สำคัญประการที่สองในการอยู่ในที่ทำงาน กฎเกณฑ์ หรือระเบียบต่างๆล้วนตั้งขึ้นมาเพื่อให้พวกเรา-ซึ่งมีอยู่มากมายได้อยู่ร่วมกัน อยู่ภายใต้ชื่อบริษัท เดียวกันได้อยู่ได้ในมาตรฐานเดียวกัน ได้รับการปฏิบัติจากบริษัท จากเพื่อนร่วมงานเหมือนกัน รวมทั้งจะได้รับสิ่งต่างๆในมาตรฐานเดียวกัน ดังนั้นกฎระเบียบตั้งขึ้นเพื่อพวกเราเองโดยแท้ ผู้ที่มี มารยาทในที่ทำงานจึงต้องเคร่งครัดในการปฏิบัติตาม อย่ามองว่าระเบียบมากมายอึดอัด ไม่ต้อง มีระเบียบเราก็ทำดีอยู่แล้ว คำพูดนี้นึกถึงนักเรียนที่เคยสอน เมื่อก่อนเป็นครูใจร้าย ใครไม่ท่อง ศัพท์ที่กำหนดให้แต่ละวันจะต้องถูกตีด้วยไม้บรรทัดพลาสติก 2 อันควบกัน แล้วก็หัก ครูก็จ่ายไป 2 หรือ 3 บาทแล้วแต่ราคาสมัยโน้น..น.(พวกเรายังไม่เกิดนั่นนะ) “...นักเรียนก็โวยว่าครูไม่เห็นต้องตีพวกเราก็ท่องอยู่แล้ว ทำไมต้องตีด้วย ครูก็บอกเขาว่า นั่นไง ครูไม่ได้ตีคนที่ท่องศัพท์ ดังนั่นคนที่ ท่องศัพท์ก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนอะไร กฎอันนี้ไม่ใช้กับ พวกเธอที่ท่องศัพท์ แต่ใช้กับคนที่ไม่ท่องศัพท์”...”

วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2552

เทคนิคการเรียนเก่ง7 ข้อ


ข้อที่ 1 : พกปากกาสี 12 สี ติดตัว ทฤษฎีสี กล่าวไว้ ว่า สีจะสามารถเพิ่มการจดจำเนื้อหาต่าง ๆ ได้มากกว่า สีน้ำเงินที่เขียนตามปกติจึงควรซื้อปากกาสีต่าง ๆ ติดตัวไว้ เวลาอ่านหนังสือก็ใช้ปากกาสีในการจดเนื้อหา ของ stabio ก็ดีนะ ทนหลายปีเลยแหล่ะ * สำหรับคนที่กลัวว่าจะจดไม่ทันก็ใช้วิธีจดเฉพาะเนื้อหาสำคัญพร้อมกับบันทึกเสียงไปพร้อม ๆ กัน แค่นี้ก้อสามารถจดจำได้แล้วล่ะ

ข้อที 2 : ใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้น การใช้สมุดnote ที่มีลายเส้นนั้นเหมือนเราอยู่แต่ในกรอบเส้นนั้น แต่ถ้าใช้สมุดnote ที่ไม่มีเส้นนั้นจะทำให้เราไม่มีกรอบในการเขียน เราอยากเขียนอะไรก็อยากเขียนได้ทั้งนั้น ปัจจุบันหาซื้อยาก ต้องลองหาแถว ร้านขายสมุดวาดรูปดูน่ะ

ข้อที่ 3 : บันทึกงานออกมาในรูป Mind Map Or Pic. ถ้าเราอ่านหนังสือการ์ตูนตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว กับอ่านหนังสือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจะสามารถจดจำการ์ตูนได้มากกว่า เวลาจดเนื้อหาบางอย่างอาจจะจดในรูปแบบ Pic. จะสามารถจดจำได้มากกว่าการบันทึกงานในรูปแบบของ mind Map จะเป็นการแบ่งเรื่องหัวข้อใหญ่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการอ่าน อาจใช้ mind map เป็นรูปก็ได้

ข้อที่ 4 : Mp3 เราควรจะมี mp3 เพื่อใช้ในการบันทักเสียงเวลาที่คุณครูสอนแต่ไม่สามารถฟังและเก็บเกี่ยวเนื้อหาได้ครบทุกอย่างหากเราอัดไว้ก็จะสามารถย้อนกลับไปฟังได้ หลาย ๆ ครั้ง ก่อนสอบ

ข้อที่ 5 : เอาใจครู เอาใจครูในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเอาอกเอาใจครู หมายถึง ทำตัวตามสไตร์ที่คุณครูชอบ เพื่อเพิ่มความชอบของคุณครูในตนเองเวลาเราชอบครูคนไหนก็อยากเรียนกับครูคนนั้น อยากส่งงาน ครู อยากเจอหน้าครู ก็จะทำให้เรียนเก่งยิ่งขึ้นเพราะ เราอยากเรียนวิชานั้น ๆ

ข้อที่ 6 : พูดคุยกับปากกาก่อนสอบ หรือก่อนเขียนงานเราควรพูดคุยกับปากกาบ้าง คุณหนูดี กับ ด็อกเตอร์ อะไรเนี่ยแหล่ะจำชื่อไม่ได้ ก็ใช้วิธีนี้จนเรียนจบปริญญา

ข้อที่ 7 : นั่งหน้าห้อง นั่งหน้าห้องจะสามารถทำให้เราได้ยินมากกว่าคนที่นั่งข้างหลังเรา เห็นชัดกว่าคนข้างหลังเราและสามารถถามครูได้มากกว่า ซึ่งมันเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว

วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2552

มารยาทในสังคม

มารยาท Etiquette หมายถึง พฤติกรรมที่แสดงออกทางกริยา วาจา ที่สังคมยอมรับว่าถูกต้อง ดีงาม
การสมาคม คือการรวมกันของกลุ่มของคนตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไปที่มาร่วมกิจกรรมเดียวกัน เช่นการประชุม ร่วมเล่นกีฬาฯ
การแนะนำให้รู้จักกัน เหตุผลที่ถือสมควรให้รู้จักกัน
เพราะทั้งสองฝ่ายต่างรู้สึกพอใจที่จะรู้จักกัน
ทั้งสองฝ่ายต่างปรารถนาที่จะรู้จักกัน
ทั้งสองฝ่ายต่างมีนิสัยที่พอจะเป็นมิตรกันได้
รู้จักกันแล้วต่างฝ่ายต่างเป็นประโยชน์แก่กัน
หลักปฏิบัติในการแนะนำ
รีบแนะนำโดยไม่ต้องลังเลใจ
พาชายไปแนะนำให้รู้จักกับหญิง
พาผู้ที่มีอาวุโสน้อยกว่าไปรู้จักกับผู้ที่มีอาวุโสมาก
พาหญิงโสดไปรู้จักกับหญิงที่แต่งงานแล้ว
บางกรณีอาจต้องพาหญิงไปรู้จักกับชาย
ชายเป็นภิกษุ สามเณร นักบวช
ชายเป็นญาติผู้ใหญ่
ชายที่มียศสูงกว่าหญิง
ถ้าแนะนำคนคนเดียวให้รู้จักกับคนหลายคนต้องแนะนำคนที่อยู่ใกล้ก่อนไปตามลำดับ
ต้องแนะนำผู้ที่มาทีหลังต่อผู้ที่มาก่อน
อย่าแนะนำกันเป็นหมู่ เพราะไม่ช่วยให้แขกรู้จักกันดี
การใช้บัตรเชิญชนิดต่างๆ หลักการเขียนบัตรเชิญ
ถ้าเป็นงานมงคลสมรสนิยมพิมพ์ด้วยกระดาษสีขาวหรือสีชมพูใหญ่
ตัวอักษรนิยมพิมพ์ด้วยตัวสีทอง เขียว หรือ ชมพู
ถ้าเป็นงานอวมงคล จะใช้กระดาษสีขาว ตัวอักษรสีดำ
ชื่อผู้พิมพ์ใช้อักษรตัวใหญ่ โดยมีหลักการดังนี้
ถ้าเป็นทางการให้บอกชื่อหน่วยงาน
ถ้าเป็นส่วนตัวให้ประกาศชื่อ สกุล
ถ้าเชิญในหน้าที่การงานให้บอกชื่อ สกุลตำแหน่ง
ชื่อผู้รับเชิญไม่มีในบัตรเชิญ แต่จะมีที่จ่าหน้าซอง
ต้องบอกให้ทราบเนื่องในพิธีใด สถานที่ประกอบพิธี ระบุให้ชัดเจน บอกวัน เดือน ปี และเวลาในการประกอบพิธีให้ละเอียด
ถ้าบุรุษหรือสตรีที่สมรสแล้วต้องเชิญทั้งสามีภรรยา ไม่ควรเชิญคนเดียว
สุภาพสตรีที่ยังไม่สมรสอยู่กับบิดา มารดา หรือญาติ ก็ควรเชิญเรียงตัว
ถ้าสามี ภรรยา อยู่ด้วยกันอย่างไม่เปิดเผย ควรแยกบัตรเชิญคนละฉบับ
ถ้ากำหนดการแต่งกาย ให้พิมพ์ตัวเล็กไว้มุมล่างของบัตร
การใช้โทรศัพท์ การพูดโทรศัพท์ควรปฏิบัติดังนี้
เมื่อรับโทรศัพท์หรือเราเป็นฝ่ายเรียกไป ควรกล่าวด้วยคำว่า “สวัสดี” ทุกครั้ง
บอกชื่อสถานที่ หรือหน่วยงานของเราทันทีโดยไม่ต้องรอให้ฝ่ายหนึ่งถาม
บอกชื่อของเราทันทีที่รับโทรศัพท์ ถ้ารับโทรศัพท์แทนผู้อื่นควรจดข้อความของบุคคลที่โทรศัพท์เข้ามา
ถ้าเราเป็นฝ่ายเรียกไปโดยมิได้เจาะจงจะพูดกับผู้หนึ่งผู้ใด ควรแจ้งนามของเราให้เขาทราบด้วยว่ากำลังพูดอยู่กับใคร

มารยาทในสังคม


เรื่องที่ควรระมัดระวังประจำวัน
1. ในบ้านพักหรือที่พัก หรือโรงแรม
1.1 ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก
1.2 ห้องอาหาร ร้านอาหาร
1.3 ห้องนอน
1.4 ห้องน้ำ
1.5 ในสนาม สวน บริเวณบ้าน
2. ในบ้านพักหรือที่พัก หรือโรงแรม
2.1 ในสำนักงาน
2.2 ห้องรับรอง - รับแขก
2.3 ห้องน้ำ
2.4 บริเวณสำนักงาน
3. การแต่งกายทั่วๆ ไป
3.1 การใช้เน็คไท
3.2 เสื้อเชิ้ต
3.3 การแต่งสูท
3.4 ชุดแต่งกายอื่นๆ
3.5 รองเท้า ถูงเท้า
3.6 ความสะอาดทั่วๆ ไป
4.. มารยาททั่วๆ ไป
1.ในบ้านพักหรือที่พัก หรือโรงแรม (หมายถึงในยุโรป/อเมริการ และประเทศหนาวที่เป็นพิธีการ
1.1 ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก
1.1.1 ควรแต่งกายให้สุภาพตลอดเวลา เนื่องจากอาจมีคนมาเยี่ยม
1.1.2 อย่าถอดรองเท้าในขณะที่มีแขก
1.1.3 ไม่ควรถอดเสื้อนอกเมื่อมีแขก
1.1.4 ควรสวม Dressing Gown แทนเสื้อนอกหรือทับเสื้อชุดนอน ในโอกาสที่ต้องรีบด่วน ไม่มีเวลาเปลี่ยนเสี้อ
1.1.5 ไม่ควรใส่ชุดนอนมานั่งในห้องนั่งเล่น , ห้องรับแขก , ห้องอาหาร , หรือเดินนอกบ้าน
1.1.6 ไม่ควรใส่ Slipper ออกมาเดินนอกบ้าน
1.1.7 เมื่อมีแขกผู้หญิง หรือผู้ใหญ่มา ควรมีการต้อนรับโดยการยืน
1.1.8ไม่ควรสูบบุหรี่ก่อนได้รับความเห็นชอบ หรืออนุญาตจากเจ้าของบ้าน หากสังเกตว่าในบ้านไม่มีที่เขี่ยบุหรี่ แสดงว่าเจ้าของบ้านไม่ต้องการ
ให้สูบบุหรี่
1.1.9 อย่าจับต้องหรือขยับเขยื้อนของประดับในบ้าน เช่น หยิบดูรูปภาพ จับ ตุ๊กตา ฯลฯ
1.1.10 อย่าเอามือไปจับต้องโต๊ะ หรือเครื่องเงิน จนเป็นรอยมือ
1.1.11 อย่าเปิดโทรทัศน์หรือวิทยุให้เสียงดัง
1.1.12 เมื่อเข้าในบ้านหรืออาคารต้องถอดหมวก ถอด Overcoat ถอดถุงมือถอดผ้าพันคอ
1.1.13 เข้าสโมสรนายทหาร (Mess) ต้องถอดหมวก/Overcoat ถุงมือ
1.1.14 อย่านั่งเขย่าเข่า หรือสั่นขา หรือเคาะนิ้ว
1.1.15 อย่าเกาศรีษะ เสยผมมากจนเสียบุคลิก

วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552

วัยรุ่นกับมารยาทสังคม<มารยาทในห้องเรียน>


มารยาทในห้องเรียนซึ่งมีวิธีปฏิบัติง่ายๆและหลายๆคนก็พอจะรู้จักและปฏิบัติได้ดังนี้
1. ต้องตั้งใจเรียน เป็นการแย่มากๆหากว่าเราจับกลุ่มคุยแข่งกับอาจารย์ที่สอนอยู่หน้าชั้นเรียนหรือสนใจในการอ่านหนังสือการ์ตูนมากกว่าบทเรียนในชั่วโมงทุกคนลองคิดดูว่าอาจารย์ผู้สอนเพียงคนเดียวไม่สามารถตะเบ็งเสียงแข่งได้
2. ไม่รบกวนสมาธิของผู้อื่น ถึงแม้เราจะเบื่อในวิชานั้นๆก็ไม่ควรไปชวนเพื่อนคุยหรือรบกวนใดๆก็แล้วแต่ถ้าเราไม่เข้าใจหรือสงสัยอะไรให้ยกมือถามอย่าไปถามเพื่อนขณะเรียนเพราะเพื่อนอาจเรียนไม่รู้เรื่องเพราะเรา
3. เชื่อฟังคำตักเตือนของอาจารย์ บางครั้งที่เราทำผิดหรือเราอาจจะดื้อรั้นกับอาจารย์ที่สอนอยู่ อาจารย์อาจจะต่อว่า ตักเตือนหรือตีก็ไม่ควรทำอวดดีหรือโต้เถียงใดๆทั้งสิ้น
4. แสดงนำใจต่อเพื่อนๆ บางครั้งเพื่อนของเรามาเรียนไม่ทันหรือขาดเรียนไปเราควรอธิบายวิชาที่เราพอจะสามารถอธิบายใหเพื่อนเราฟังได้ หรือเพื่อนขาดอุปกรณ์การเรียน ถ้าเรามีก็ควรจะแบ่งปัน เพราะในการเรียนเราต้องพึ่งพาอาศัยกันเมื่อทำกิจกรรมต่างๆอยู่แล้ว
5. มีความรับผิดชอบ นอกจากการเรียนในวิชาต่างๆแล้วยังต้องมีแบบฝึกหัดให้เราทดลองและเราจะต้องมีความรับผิดชอบโดยการทำส่งให้ครบตามกำหนดเวลา เพื่อไม่ให้มีนิสัยที่ไม่ดีติดตัว